เมโสแฟต (Meso fat) คือ ตัวยาที่ฉีดเข้าไปเพื่อสลายไขมันส่วนเกิน และประกอบด้วยสารที่มีคุณสมบัติเร่งการเผาผลาญไขมัน รวมถึงช่วยลดกระบวนการเกิดเซลล์ไขมันใหม่ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไขมันที่สลายจะถูกขับออกโดยตามกลไกธรรมชาติของร่างกายผ่านทางกระบวนการขับถ่าย
ประเภท Lipolysis ที่ออกฤทธิ์โดยการทำให้ไขมันในเซลล์ไขมันแตกตัว (lipolysis) และซึมออกทำให้เซลล์ไขมันมีขนาดเล็กลง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 2-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ประเภท Adipocytolysis ซึ่งจะมีส่วนผสมของ DCA (DeoxyCholic Acid) ออกฤทธิ์โดยการเจาะและทำให้เซลล์ไขมันแตกและตาย ทำให้ปริมาณเซลล์ไขมันมีจำนวนน้อยลง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า
เมโสแฟต (Meso fat) ฉีดได้ทุกบริเวณที่มี subcutaneous fat เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก น่อง ต้นขา
บริเวณที่ผู้เข้ารับบริการนิยมฉีดเมโสแฟตมากที่สุดคือ แก้มและเหนียง เพื่อให้กรอบหน้าดูเรียวเล็ก และบริเวณหน้าท้องและเอว (ห่วงยาง) เพื่อกำจัดไขมันที่สะสมมากๆและลดยาก ทั้งนี้การฉีดเมโสแฟตต้องทำควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมได้ใหม่
หลังฉีดเมโสแฟต คนไข้ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีการบวมเพียงเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด) เนื่องจากตัวยาออกฤทธิ์ทำให้เซลล์ไขมันระเบิดและแตกออก เซลล์ไขมันจึงต้องพองตัว และจะรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด อาการบวมเล็กน้อย จะค่อยๆหายไปส่วนใหญ่ใน 3-4 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด)
หลังฉีด จะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์
หากคนไข้ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถกลับมาฉีดเมโสแฟตซ้ำได้อีกหลัง 7-10 วัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับคนไข้ที่มีปริมาณไขมันสะสมมากๆ อาจต้องฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลที่ชัดเจน และการฉีดต่อเนื่องจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
หญิงตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
ผู้ป่วยที่มีการรับประทานยาเป็นจำนวนมาก
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานต้องให้อินซูลิน มะเร็ง โรคหัวใจ หรือหัวใจเต้นผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด
งดการสัมผัส และนวดแรงๆบริเวณที่ฉีด
ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ไขมันขับออกทางปัสสาวะ
หลีกเลี่ยงการ นวดหน้า ทำหน้าหรือทำเลเซอร์บริเวณหน้า หรือเข้าซาวน่า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
งดแอลกอฮอร์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เนื่องจากจะเป็นการลดประสิทธิภาพการทำงานของยา และอาการบวมหายได้ช้าขึ้นควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมได้ใหม่